สมาคมฟุตบอลอังกฤษเร่งสอบสวน “คาวานี” หลังใช้คำพูดเข้าข่ายเหยียดผิว
“เอดินสัน คาวานี” อาจจะผันจากฮีโร่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นผู้ร้ายในชั่วข้ามคืน หลังจากใช้คำที่สามารถตีความในเชิงเหยียดผิวได้

สมาคมฟุตบอลอังกฤษเร่งสอบสวน “คาวานี” หลังใช้คำพูดเข้าข่ายเหยียดผิว
ควันหลงฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2020-2021 นัดที่ 10 ซึ่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ เอดินสัน คาวานี ดาวยิงทีมชาติอุรุกวัยที่เพิ่งย้ายมาในช่วงซัมเมอร์ ลงมาเป็นซุปเปอร์ซับทำแอสซิสต์ให้ บรูโน เฟอร์นันเดส ยิงลูกแรก
ก่อนเหมาซัดอีก 2 ประตูในนาทีที่ 74 และช่วงทดเจ็บ ช่วยให้บุกไปแซงชนะ เซาแธมป์ตัน 3-2 เก็บเพิ่มเป็น 16 คะแนน จากการลงเล่น 9 นัด ขึ้นมาอยู่อันดับ 8

หลังจบเกมก็มีคนเข้ามาแสดงความยินดีกับศูนย์หน้าวัย 33 ปีในอินสตาแกรมมากมาย แต่มีอยู่รายหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นเพื่อนของดาวเตะ “ปิศาจแดง” ที่เจ้าตัวได้ตอบกลับไปด้วยภาษาสเปนว่า “Gracias negrito” ซึ่งหากแปลแบบตรงตัวจะได้ความหมายว่า “ขอบคุณเจ้ามืด” ที่ส่อไปในทางเหยียดผิว

แต่หลังจากนั้น 3 ชั่วโมงข้อความดังกล่าวก็ถูกลบออกไป คาดว่า คาวานี น่าจะทราบแล้วว่าคำที่เขาใช้สามารถสื่อความหมายเชิงเหยียดผิวได้ในเมืองผู้ดี อย่างไรก็ตาม
มีรายงานจากสื่อดังอย่าง บีบีซี สปอร์ต กับ เดลี เมล์ ระบุว่าเจ้าตัวเพียงแค่หยอกล้อกับเพื่อนสนิท ซึ่งคำดังกล่าวเป็นการแสดงออกถึงความเอ็นดูกับคู่สนทนา และเป็นคำที่ใช้กันทั่วไปที่อุรุกวัยบ้านเกิดของเขา รวมถึงในทวีปอเมริกาใต้
สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ไม่ได้นิ่งเฉย และกำลังเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ ซึ่งก็มีการนำไปเปรียบเทียบกับกรณีของ หลุยส์ ซัวเรซ อดีตหัวหอกลิเวอร์พูลซึ่งเป็นชาวอุรุกวัยเหมือนกับ คาวานี ที่ใช้คำว่า “negro”
ซึ่งสื่อถึงคนผิวดำ หลังจากปะทะกับ ปาทริซ เอฟรา แบ็กซ้ายแมนยูฯ เมื่อปี 2011 จนถูกแบนยาว 8 นัด และปรับเงินอีก 40,000 ปอนด์ (1.64 ล้านบาท)

ครั้งนั้น ซัวเรซ พยายามแก้ต่างในระหว่างถูก เอฟเอ สอบสวนว่า คำว่า “negro” ในภาษาสเปนที่อุรุกวัยและประเทศอื่นๆ ในแถบลาตินอเมริกาไม่ใช่คำที่ใช้เหยียดผิว
และมีความหมายแตกต่างจากในภาษาอังกฤษ โดยอธิบายว่าคำนี้สามารถสื่อถึงคนที่มี “สีผม” ดกดำได้ เช่นเดียวกับคนที่มี “สีผิว” เข้มหรือคล้ำ
อดีตกองหน้า “หงส์แดง” ชี้แจงเพิ่มเติมอีกว่า บางครั้งภรรยาของเขาก็ยังเคยเรียกเขาด้วยคำว่า “Negro” ตลอดจนคุณยายก็ยังเคยเรียกคุณตารวมถึงตัวเขาโดยใช้คำว่า “Negrito” แต่ประเด็นนี้ก็ถูก เอฟเอ ปัดตกไป
ส่วนบทลงโทษในข้อหามีพฤติกรรมเหยียดผิวนั้น เอฟเอ ระบุว่าจะถูกแบนอย่างน้อย 3 นัดหากเกิดขึ้นในโซเชียลมีเดีย แต่หากเกิดขึ้นในสนามระหว่างการแข่งขันจะถูกห้ามลงเล่น 6-12 นัดเลยทีเดียว
ติดตาม วิเคราะห์บอลล่าสุด
ติดตาม ไฮไลท์ฟุตบอลล่าสุด
ติดตาม ข่าวกีฬาอื่นๆ